Wild Betta Thailand
ปลากัดป่าไทย
 [ ปลากัดป่ามหาชัย ]
สายพันธุ์ไทยแท้ มีที่เดียวในโลก
คือ ประเทศไทย
ถิ่นที่อยู่อาศัยจำกัด โดยพบแค่เพียงเขตจังหวัดสมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, สมุทรปราการ และในเขตบางขุนเทียน ของกรุงเทพมหานค ร |  [ ปลากัดป่าภาคกลาง (แก้มแดง) ]
พบเห็นได้ในภาคเหนือ ภาคกลาง
และภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่ จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษ พบประปลายที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และอาจจะพบเห็นในจังหวัดนราธิวาสอีกด้วย
(เป็นต้นสายของปลากัดแฟนซี และ ปลากัดหม้อ) |  [ ปลากัดป่าอีสานหางลาย ( ปลากัดป่ากีต้า ) ]
สามารถพบเห็นได้แค่เพียงไม่กี่แหล่ง และไม่กี่จังหวัด ทางภาคอีสาน ที่พบเห็นได้บ่อยและมีชื่อเสียงโด่งดัง มาจาก จังหวัด บึงกาฬ |
|---|
 [ ปลากัดป่าภาคอีสาน(หน้างู) ]
พบเห็นได้ง่ายในทางภาคอีสานของประเทศไทย มีเกล็ดบนใบหน้าคล้ายงู ในภาพอีสานจะมีอีกสายพันธุ์นึงคือ ปลากัดป่าอีสานหางลาย ลักษณะใกล้เคียงกันต่างกันที่ส่วนหาง |  [ ปลากัดป่าภาคตะวันออก (หน้าดำ,แดง)]
พบได้ทางภาคตะวันออกของประเทศไทยและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในตะวันออกจะมีทั้งแก้มดำ และ แก้มแดง ลักษณะคล้ายปลาใต้ แต่ต่างกันที่ใบหน้า และลำตัวดำเข้มเกล็ดเขียวเด่น ส่วนอื่นๆเหมือนกับปลากัดภาคใต้และภาคกลา ง |  [ ปลากัดป่าภาคใต้ (แก้มเขียว) ]
พบได้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรสุราษฎร์ธานี จนไปถึง3 จังหวัดภาคใต้ และ ประเทศมาเลเซีย เวียดนาม
(มีขนาดเล็กที่สุดในทุกสายพันธุ์)
ฉายาในวงการปลา ปากไว ใจน้อย |
|---|
The Difference wild betta and Trichopsis
 ปลากัดป่าแก้มเขียว
มีตะเกียบสีแดงหางแดง (ปลากริมจะไม่มีสีแดง ลำตัวจะออกเขียวดำ หรือ เขียวขาว หางแหลมลายโพธิ์ ) |  ปลากัดแก้มเขียวที่ช้อนได้จากธรรมชาติ สีเขียวทรงกระบอก ต่างจากปลากริม |  ปลากัดแก้มเขียวที่ถอดสี มีลายขีดสองขีดกลางตัว สีตัวออกน้ำตาลเนื้ออ่อนๆ |
|---|
 ปลากัดป่าแก้มแดง ลูกช้อน มีตะเกียบสีแดงหางแดง (ปลากริมจะไม่มีสีแดง ลำตัวจะออกเขียวดำ หรือ เขียวขาว หางแหลมลายโพธิ์ )
ทางซ้ายและขวา จะเป็นปลากริม ลองสังเกตุดูครับ |  ตัวนี้คือ ปลากริม
ลำตัวหนา ปากขวิด หางโพธิ์แหลมลาย ตาใหญ่เขียว เกล็ดสีเขียว ลำตัวเขียวดำหรือ เขียวยาวอมฟ้า |  ตัวนี้คือ ปลากริม
ลำตัวหนา ปากขวิด หางโพธิ์แหลมลาย ตาใหญ่เขียว เกล็ดสีเขียว ลำตัวเขียวดำหรือ เขียวยาวอมฟ้า |
|---|
การเตรียมความพร้อม และ การเพาะปลา
 1. คัดเลือกพ่อพันธุ์
ก่อนจะเพาะต้องหาพ่อแม่พันธุ์สวยๆมาเพาะพันธุ์ เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา และ เราจะได้ลูกออกมาสวยๆ
(เมื่อตัวผู้พร้อมผสมพันธุ์ มันจะก่อหวอดแสดงความพร้อม หรือ อาจจะมีลีลาการว่ายพริ้วไหว ส่ายตัวไปมา คล้ายงูเลื้อย) |  2. คัดเลือกแม่พันธุ์ (ในภาพตัวอย่างเป็นเมียมหาชัย)
หาเมียที่มีไข่เหลือง ไซด์กลางๆ กำลังดี เมื่อตัวเมียพร้อมจะ มีลายบั้งขาวสลับดำ หรือที่เรียกว่าลายบั้ง เหมือนภาพที่3
(ตัวเมียจะมีไข่สองฝัก) |  3. เทียบปลา
ก่อนจะเพาะต้องเทียบปลาตัวเมียให้ตัวผู้ได้แอบมองสักระยะนึง (ข้อดีเพื่อลดการบาดเจ็บจากการไล่กัดของตัวผู้ ระยะเวลาประมาณ 3-7วัน)
จากนั้นเมื่อทั้งสองพร้อม ให้เอาตัวเมียลงในที่เพาะได้ (ลงช่วงเย็นๆค่ำๆ 5-6โมงกำลังดี)
มันอาจจะได้รัดกันเลยในคืนนั้น
*เมื่อรัดได้ไข่เยอะเเล้ว 2-3วัน ก็ค่อยเอาตัวเมียออก |
|---|
 4. สถานที่เพาะอิงธรรมชาติ
ทำไมต้องเอาผักบุ้งใส่
- ข้อดีก็คือ มันจะได้เป็นที่หลบซ้อนของพ่อแม่พันธุ์ และให้ดูคล้ายกับสถานที่ธรรมชาติ ปลาจะได้ไม่ตกใจง่าย และ ยังเป็นแหล่งอาหารขนาดเล็กให้สำหรับลูกปลาได้อีกด้วย (ใช้ใบผักบุ้งขย้ำๆแล้วเอาใส่ที่เพาะ มันจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋ว เรียกว่า พารามีเซียมขึ้นในที่เราเพาะ)
(ปิดฝาไว้ด้านบนด้วยกันลมทำให้หวอดแตก หรือ กันแมลงปอไปวางไข่ *ห้ามๆปรบกวนมันบ่อยๆ) |  5. การเพาะในร่ม
ทำไม ต้องเอากระถางดอกไม้มาใช้ในที่เพาะ เพื่อป้องกันหวอดแตก หรือ ป้องกันการตกใจตอนเราให้อาหาร
(ถ้าพ่อปลาตกใจบ่อยๆมันจะกินลูกมันเอง เพราะฉนั้นอย่าไปกวนมันมาก) |  6. ใช้วัสดุจากธรรมชาติเข้าช่วย
กะละมะพร้าว ช่วยให้เป็นที่หลบซ้อนเเละอิงกับธรรมชาติได้ดีเช่นกัน
กันลมกันฝนได้ด้วย ในที่เพาะควรใส่ไม้น้ำเข้าไปด้วยจะดีมาก เเต่ไม่ควรใส่เยอะจนเกินไป |
|---|
 7. การผสมพันธุ์
ตัวผู้จะกอดรัดตัวเมียเพื่อให้ไข่ไหลออกมา เมื่อไข่ตกพื้น ตัวผู้จะคอยเก็บไข่ แล ะ เฝ้าดูแลไข่ใต้หวดนั้นจนกว่าจะออกเป็นตัว |  8. ภาพไข่ในหวอด
ถ้ามีไข่เเล้ว ห้ามไปรบกวนมันเลย เพราะช่วงนี้พ่อปลาจะหวงลูกและไข่มากๆ
ถ้าตกใจ มันกินลูกเเน่นอน
เมื่อมีไข่เเล้ว ลูกปลาจะออกจากหวอดใน 2-3วัน
อาหารสำหรับลูกปลา คือ
- พารามีเซียม
- ไรแดงตัวเล็ก
- ไข่แดงต้มสุก ละลายน้ำ(นิดเดียว ถ้าเยอะน้ำเสีย |  9. ตัวอ่อนแมลงปอ
ไอตัวกินลูกปลา ตัวนี้ต้องคอระวัง |
|---|
ปลาไม่สู้ , ปลาป่วย , วิธีทำให้ปลาสวย
เคล็ดไม่ลับ
- สถานที่กว้าง
- พืชไม้น้ำ
- น้ำสะอาด
- เอาตัวเมียลงให้ไล่(ตัวเมียที่ไม่มีไข่)
- เอาตัวผู้ใส่ขวดให้เขาพองสู้ เพื่อเร่งสี
-อาหารสด
ส่วนของผมใช้กะลามะพร้าวให้บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น อาหารดีให้เหลือไว้ก็ไม่เป็นไร เลี้ยงทิ้งไว้ ระยะสั้น 1-3 วัน ปลาจะก่อหวอด เลี้ยงระยะยาว 3-7 วัน ปลาจะค่อยๆพัฒนานตัวเองขึ้น ในช่วง 3-7วัน หาตัวผู้หรือเมียก็ได้เอาใส่ขวดโหล ไว้เทียบในที่เราฟรอมปลา สัก30-1ชม แล้วค่อยเอาออก
 |
|---|
 |
|---|
 |
|---|
 |
|---|
โรคเชื้อรา (Fugas Disease)
หากไม่รีบรักษาอาจทำให้ปลาตาย
- ล้างโหลใหม่ให้สะอาด
- นำปลาป่วยแช่ปลาลงในน้ำใหม่ที่ไม่มีคอลีน ใส่เกลือเม็ด 3-4 เม็ด แล้วเช็ดเชื้อราด้วยสำลีออกให้หมดและทาด้วยยา
Malachite green หรือ Furazone green บริเวณที่เป็นแผลเบาๆ
- หมันเปลี่ยนน้ำใหม่ ใน 3-4วัน
โรคหางลีบ, เกล็ดหลุด หางขาด หางแหว่ง
- ทำเหมือนๆกันกับวิธีฟรอมปลา แต่ อาจจะใช้ระยะเวลาที่นานกว่าเล็กน้อย
- เลี้ยงในน้ำหมักใบหูกวางเข้มๆ สลับน้ำใส 1 อาทิตย์เปลี่ยนน้ำ หรือ น้ำหมักอ่อนๆเลี้ยงไปนานๆ
โรคเกล็ดพอง (Scale protrusion)
อาการ เกล็ดตามตัวของปลาจะตั้งอ้าออก ลำตัวจะบวมพอง ตามไม่ค่อยกินอาหาร และจะลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วก็ตาย
วิธีป้องกันและรักษา
-ควรดูแลสภาพน้ำและสภาพแวดล้อมภายในตู้ให้สะอาด เปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ งดการกินอาหาร และ ใช้ยาเหลือง หรือ หมักใบหูกวางเข้มๆ เลี้ยงน้ำน้อยๆ
โรคหนอนสมอ (Lerneosis)
หนอนสมอจะใช้ส่วนหัว และอกฝังในเนื้อเยื่อตามผิวหนังปลา
วิธีป้องกันและรักษา
-ควรแยกปลาที่เป็นโรคนี้ออกต่างหากเพราะเป็นโรคติดต่อกันได้
-รักษาโดยการใส่ ยาเหลือง เกลือเม็ด (ถ้าไม่ฝังตัวลึกเข้าไปในลำตัวมากนักอาจจะมีโอกาสรอด)
-หนอนสมออาจแอบแฝงมากับน้ำหรืออาหารที่จะให้ปลา เช่น ลูกน้ำ
ก่อนให้อาหารปลาที่ช้อนจากธรรมชาติ ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำใหม่หลายๆครั้ง หรือ เเช่ด่างทับทิมไว้ก่อน เเล้วล้างอีกสัก2-3 ครั้ง กันไว้ดีกว่าแก้ ปลาตายมันเสียดายทั้งปลาทั้งชีวิต
 |  |
|---|
